× PRODUCTS GYM DESIGN CASE STUDIE SUPPORT KNOWLEDGE & NEWS แจ้งชำระเงิน การชำระเงิน ABOUT CONTACT LOG IN REGISTER
...

9 วิธีเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ว่าดีที่สุด


Knowlege





1. งบประมาณ

หากต้องการลู่วิ่งที่มีคุณภาพเทียบเท่าลู่วิ่งในโรงยิม คุณจะต้องจ่ายในราคาสูงมาก แต่ก็แลกมาด้วยความคุ้มค่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากคุณเป็นนักวิ่งมือใหม่

คุณควรเลือกลู่วิ่งที่มีราคาตามงบประมาณที่คุณสามารถจ่ายไหว และต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วยว่าสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานหรือไม่ มีความแข็งแรงคงทนมากน้อยเพียงใด โดยคุณสามารถอ่านรีวิวลู่วิ่งได้จากรีวิวของผู้ใช้จริง

2. ความแรงของมอเตอร์

ลู่วิ่งไฟฟ้าส่วนใหญหากเป็นแบบใช้เล่นที่บ้าน มักจะมีความแรงของมอเตอร์ไม่สูง เพราะยิ่งความแรงสูงมากเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น โดยปกติแล้วลู่วิ่งไฟฟ้าที่บ้านจะมีความแรงอยู่ที่ประมาณ 1.5-3 แรงม้า ซึ่งเป็นความแรงที่เพียงพอต่อความต้องการในการออกกำลังกายทั่ว ๆ ไปแล้วครับ สำหรับคนที่รักในการวิ่ง คุณอาจจะต้องมองหาลู่วิ่งไฟฟ้าที่ราคาสูงขึ้น เพื่อที่จะได้ลู้วิ่งไฟฟ้าเทียบเท่าลู่วิ่งที่ใช้ในโรงยิมหรือฟิตเนส หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าความแรงของมอเตอร์นั้นสำคัญอย่างไร? แน่นอนครับว่ายิ่งมีความแรงของมอเตอร์มาก ความเร็วของเครื่องสูงสุดก็จะมากขึ้นด้วย ความเร็วของเครื่องก็คือความเร็วในการวิ่งนั้นเองครับ

ดังนั้นเราควรเลือกกำลังมอเตอร์ตามความเหมาะสมที่เราสามารถใช้ได้จริง บางคนเลือกลู่วิ่งที่มีแรงม้าสูงไว้ก่อน แต่พอถึงเวลาใช้จริงกลับใช้งานได้ไม่ถึงตามที่ซื้อไว้ก็มีเยอะนะครับ ลองดูจากตารางแนะนำด้านล่างนี้ประกอบการตัดสินใจนะครับ

กำลังมอเตอร์

น้ำหนักผู้วิ่งที่เหมาะสม

การใช้งาน

1 แรงม้า

45-55 kg

เดินช้าหรือเดินเร็ว

1.5 แรงม้า

55-65 kg

เดินช้าหรือเดินเร็ว

2 แรงม้า

65-80 kg

วิ่ง

2.5 แรงม้า

80-100 kg

วิ่ง

3 แรงม้าขึ้นไป

100-120 kg ขึ้นไป

วิ่ง


3. ขนาดของลู่วิ่ง พับเก็บได้

ดูขนาดของลู่วิ่งที่คุณสนใจละเอียดหน่อยนะครับ เพราะบางรุ่นมีขนาดใหญ่มาก คุณอาจจะมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการจัดวางลู่วิ่งในห้องนั้น ๆ แต่ลู่วิ่งหลาย ๆ รุ่นก็สามารถจัดพับเก็บได้ นี่จึงอาจเป็นทางเลือกอีกที่ดีในการพิจารณาเลือกซื้อลู่วิ่งของคุณ เพราะคุณสามารถพับเก็บให้เรียบร้อยหลังการใช้งานได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพื้นได้ดี โดยเฉพาะรุ่นที่พับสูงสุดถึง 90 องศา ถือว่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างประหยัด อาทิเช่น คอนโด หอพัก หรืออพาร์ทเม้นท์ เป็นต้น นอกจากนี้ก่อนซื้อลู่วิ่งคุณควรเตรียมและหาพื้นที่ในวางหรือติดตั้งลู่วิ่งไฟฟ้าก่อนซื้อ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาพื้นที่ไม่เพียงทีหลังได้ครับ

4. ความเร็วของลู่วิ่งไฟฟ้า

ความเร็วของลู่วิ่งไฟฟ้าจะขึ้นกับกำลังมอเตอร์ที่เราเลือกว่ากี่มากน้อยเท่าไหร่ ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างลู่วิ่งไฟฟ้าในครัวเรือนและลู่วิ่งในฟิตเนส คือความเร็วสูงสุดที่มีให้ ลู่วิ่งในฟิตเนสส่วนใหญ่มักจะมีความเร็วถึง 20-25 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ลู่วิ่งที่ที่ใช้ในครัวเรือนมักจะมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 12-18 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรืออาจจะต่ำกว่านั้นขึ้นอยู่ราคา ซึ่งควรจะเลือกตามความชอบ หรือความเหมาะสมในการใช้งานจริง รวมถึงงบประมาณที่มีด้วยครับ

ความเร็ว

การใช้งาน

0-6 km/hr

เดิน/เดินเร็ว

7-9 km/hr

จ็อกกิ้ง

10-16 km/hr

วิ่งเร็ว

17-25 km/hr

สปรินท์

 

 

5. ขนาดของสายพาน

ขนาดของสายพาน ก็เป็นอีกสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ ยิ่งมีขนาดกว้างและยาวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งวิ่งได้อิสระมากขึ้นเท่านั้น โดยขนาดความกว้างขั้นต่ำ สำหรับที่จะแน่ใจได้ว่าคุณสามารถวิ่งได้อย่างสะดวก คือ 40-45 cm ส่วนความยาวของสายพานนั้น ถ้าเป็นขนาดพื้นฐานเราขอแนะนำที่ 120 cm หากคุณต้องการเลือกจากการใช้งาน ก็ดูว่าคุณเน้นใช้งานแบบไหน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเน้นเดินความยาวก็ไม่ควรต่ำกว่า 100 cm หรือถ้าคุณต้องการวิ่งทั่ว ๆ ไป ความยาวไม่ควรต่ำกว่า 120 cm นอกจากนี้ส่วนสูงเองก็เป็นอีก หนึ่งปัจจัยในการเลือกความยาวของสายพานเช่นกันครับ หากคุณสูงเกิน 180 cm คุณจะต้องใช้สายพานอย่างน้อย 130 cm สำหรับการเดิน และสายพานขนาด 140 cm สำหรับการวิ่ง


6. ความชันของลู่วิ่งไฟฟ้า

ลู่วิ่งส่วนใหญ่จะสามารถปรับระดับความชันได้อยู่ที่ 0% -15% จากพื้น อย่างไรก็ตามบางรุ่นก็สามารถเพิ่มความชันได้มากถึง 40% ทำให้เป็นลู่วิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโหมดการวิ่งบนเนินเขา ยิ่งสามารถปรับความชันได้มากเท่าไร่ ก็ยิ่งออกกำลังกายเผาผลาญไขมันได้มากเท่านั้น ซึ่งสามารถปรับความชันได้ 2 แบบ คือปรับด้วยตัวเองและใช้ปุ่มกดในการปรับ บางเครื่องอาจจะมีฟังก์ชันปรับความเองอัตโนมัติ


7. การรับแรงกระแทก และความเสถียร

ลู่วิ่งที่ดีควรดูดซับแรงกระแทกได้ดี และสายพานไม่ควรขยับไปมาทุกครั้งจากการรับแรงกระแทกที่เท้า ยิ่งลู่วิ่งรับแรงกระแทกได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดอาการบาดเจ็บจากข้อเข่าเสื่อมสภาพระหว่างการวิ่งได้มากเท่านั้น ซึ่งการรองรับแรงกระแทกนั้นก็แล้วแต่เทคโนโลยีของแต่แบรนด์ที่ใช้ในการผลิต สำหรับความเสถียรนั้น ลู่วิ่งที่ความเสถียรดีไม่ควรสั่น เมื่อคุณวิ่งหรือเดินบนเครื่อง


8. โปรแกรมสำเร็จรูป

สำหรับบางโปรแกรมสำเร็จรูปนั้น มันเป็นเรื่องที่สามารถช่วยเราได้จริงๆ เวลาวิ่ง บางเครื่องสามารถตั้งโปรแกรมไว้ได้ 12-18 โปรแกรม ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่ต้องมาคอยปรับระดับความเร็ว หรือความชันขณะวิ่ง ซึ่งจะทำให้คุณไม่พลาดความสนุกในการวิ่งอย่างแน่นอน


9. การรับประกันสินค้า บริการหลังการขาย และศูนย์บริการ

อย่างน้อยที่สุดแล้วลู่วิ่งควรจะมีการรับประกัน 2 ปี เป็นขั้นต่ำแต่หากมากกว่านั้นก็จะดีมากครับคุณครับ ควรเลือกสินค้าที่มีประกัน มีบริการหลังการขาย เพราะหากเกิดความเสียหายก็สามารถส่งเคลมได้ครับ และควรจะมีศูนย์บริการซ่อมเครมใกล้บ้านครับ ยิ่งจะช่วยให้เราสะดวกมากยิ่งขึ้นครับไม่ว่าจะการส่งเครม ระยะเวลาในการเครม